โรงเรียน ครู อยู่อย่างไรในยุค 4.0
- หลังจากรัฐบาลประกาศนโยบาย“ไทยแลนด์4.0” โดยมีเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ใช้นวัตกรรมทางเศรษฐกิจสังคมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูง.
- ซึ่งการที่จะพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทักษะ ความรู้ ความสามารถตรงกับนโยบายดังกล่าวได้นั้น ระบบการศึกษาไทยต้องก้าวสู่ “การศึกษา4.0” เช่นเดียวกัน
- ว่าแต่การศึกษา4.0นั้นเป็นเช่นใด? แล้วโรงเรียน ครู ควรเป็นอยู่อย่างไรในยุค4.0?
- แวดวงการศึกษาได้มีการกล่าวถึง ยุค 4.0 ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตร4.0, ห้องเรียน4.0, ครูไทย4.0,โรงเรียน4.0 และมหาวิทยาลัย4.0 เป็นต้น
- โดยจะอธิบายไปในทิศทางเดียวกันในการพัฒนา สร้างเด็กและเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม มีทักษะของการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รู้จักแยกแยะข้อมูล มีทักษะในศตวรรษที่ 21 ผ่านการจัดการเรียนการสอนที่ทำให้นักเรียน นักศึกษา นำองค์ความรู้ที่มีอยู่ทุกที่ มาบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้าง และพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของประเทศ
- ศ.กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ อาจารย์อาวุโส วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เริ่มต้นอธิบาย การศึกษา4.0 ว่าการพัฒนาการของการศึกษาที่ไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตีความได้แต่เป็นการศึกษาที่แท้จริงต้องทำให้ผู้เรียนสร้างผลผลิตหรือนวัตกรรมใหม่ออกมาได้ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวนักเรียน นักศึกษาไปตลอดชีวิต สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และจะช่วยแก้ปัญหาบริโภคนิยมที่เกาะกินสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
- การศึกษา4.0เป็นความหวังของประเทศไทยที่จะก้าวให้พ้นกับดักต่างๆ ที่มีมาอย่างยาวนาน เส้นทางการศึกษา4.0เพิ่งเริ่มต้นขึ้นและหนทางยังอีกยาวไกลนัก ในฐานะนักการศึกษา
- ศ.กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ กล่าวต่อไปว่าการศึกษา 4.0 เกิดขึ้นได้ต้องมีการพัฒนาระบบการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียน ครู ต้องเป็นการจัดการศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ เพื่อให้การศึกษาเป็นไปในทิศทางที่มีคุณค่าต่อตัวผู้เรียนต่อสังคมในทางสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ซึ่งการเรียนการสอนต้องประกอบไปด้วยแนวคิด CCPR Model เพื่อสร้างให้เด็กมีคุณลักษณะ 4 ประการ คือ
- 1.Critical คิดวิเคราะห์ มองสังคมให้รอบด้าน รู้ที่มาที่ไป เข้าใจเหตุและผล
- 2.Creative คิดสร้างสรรค์ เด็กต้องคิดต่อยอดจากที่มีอยู่ ประยุกต์และใช้ประโยชน์ มองประเด็นใหม่ๆ
- 3.Productive คิดผลิตภาพ คำนึงถึงผลผลิต มีวิธีการและคุณภาพ ค่าของผลงาน และ
- 4.Responsible คิดรับผิดชอบ นึกถึงสังคม ประเทศชาติ มีจิตสำนึกสาธารณะ และมีคุณธรรมจริยธรรม ความดีงาม
- “การศึกษา4.0โรงเรียนครู ต้องทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างผลผลิตขึ้นมาได้ ถึงแม้ผลผลิตจะไม่ใหม่เอี่ยม เป็นนวัตกรรมอย่างจริงจัง แต่เวลาที่ยาวนานผู้เรียนจะสร้างผลผลิตที่ใหม่ ทันสมัยได้เอง และเขาจะสามารถพัฒนาทักษะและวิญญาณการคิดค้นแสวงหาและพัฒนา ผลิตภัณฑ์ ติดตัวเขาไปตลอดชีวิต สิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงผลงานต่างๆ
- ต้องเข้าใจว่าการศึกษา 4.0 ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต จริงอยู่ที่ 4.0 เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิต เราต้องดำเนินการ 4.0 ให้ดีที่สุด มีค่าที่สุดและเป็นประโยชน์แก่เรามากที่สุด และต้องมองไปถึงชีวิตหลัก 4.0 เช่นเดียวกัน” ศ.กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ กล่าว
- สำหรับหลักสูตร CCPR Model ที่จะให้ผู้เรียนต้องมีอย่างน้อย 4 อย่าง ได้แก่
- 1.เรียนรู้ทั่วโลกและภูมิปัญญาหลักของไทย
- 2.ทางเลือกของสังคมไทยและของโลก ต้องให้ศึกษาทางเลือกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตเป็นโลกที่มีความหลากหลาย
- 3.กระบวนการแสวงหาความรู้ เรียนความรู้หลักของไทยแล้ว ต้องเรียนนวัตกรรมวิเคราะห์ใหม่ของโลก ควรเป็นหลักสูตรที่ทุกคนต้องเรียน เรียนขนาดใหญ่อย่างไรก็ต้องนำมาวิเคราะห์ และ
- 4.นวัตกรรมใหม่ของโลก จำเป็นต้องให้เรียนรู้กระบวนการที่จะหาความรู้ใหม่ อาจจะเรียนวิธีวิจัยก็ได้ ต้องสอนการวิจัยตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา
- ศ.กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ กล่าวอีกว่า วิธีการเรียนการสอนใน แบบCCPR Modelโดยจะเป็นการใช้ผลการสอนเป็นหลักประกัน โรงเรียน ครู จะต้องจัดการเรียนรู้แบบให้เด็กคิดวิเคราะห์วิเคราะห์เป็นหลัก เน้นวิเคราะห์ปัญหารายบุคคล แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้เด็กทบทวนตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง
- อีกทั้งต้องสนับสนุนให้ผู้เรียนคิดอะไรใหม่ ให้ฝึกการทำงานใหม่ๆ เพิ่มเติมจนแน่ใจในทักษะการคิดใหม่ได้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน มองใหม่ เสนอใหม่ ให้ทางเลือก เพิ่ม ลด ต่อยอด เสริม ลองแล้วลองอีก วางเป้าหมายที่ผลงาน แสวงหาวิธีการต่างๆ ให้ได้งาน ทดสอบ ประเมินคุณภาพปรับเปลี่ยนและช่วยสอดส่อง รวมถึงต้องดำเนินการในทุกระดับ นำตัวเองสู่สาธารณะ สังคม ผ่านการทดสอบ รูปแบบตัวอย่าง
- “การจัดการศึกษาเพื่อผลผลิต ครูต้องสอนน้อย แต่ให้เด็กเรียนรู้มาก ผ่านการจัดการเรียนการสอนแบบไม่สอน ก็เรียนได้จริง โดยครูต้องเชื่อมั่นว่าผู้เรียนสามารถแสดงหาและสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้สอนมีบทบาทในการวางแผนการจัดการเรียน ออกแบบกิจกรรมการเรียน กระตุ้นส่งเสริมจูงใจผู้เรียนและเตรียมคำถามที่ท้าทายให้ผู้เรียนได้ค้นหาคำตอบ มีประเด็นคำถามจากประสบการณ์ในชั้นเรียน การนำเสนอผลการเรียนมาอภิปรายแลกเปลี่ยนในชั้นเรียน ซึ่งผู้สอนจะมีบทบาทใหม่ คือ Commentator เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เกิดผลงานที่เป็นองค์ความรู้จากกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์”
- การศึกษาในอดีตเป็นการศึกษาบริโภคนิยมที่สอนให้ผู้คนถนัดการซื้อ กิน และใช้ ซึ่งถ้ายังเป็นอย่างนี้ การศีกษาไทยจะแย่ ดังนั้น การศึกษายุคใหม่ต้องไม่ใช่การผลิตผู้บริโภค แต่ต้องสร้างนักผลิต โดยการศึกษา 4.0 เป็นการสอนให้เด็กมีผลผลิต มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม ทั้งนี้ การที่มหาวิทยาลัยประกาศเป็นมหาวิทยาลัย 4.0 ไม่ใช่เพียงปรับปรุงสถานที่ให้สวยงาม แต่ต้องเป็นการผลิตนวัตกรรม สินค้าที่เป็นประโยชน์
- “การจัดการศึกษาไทย 4.0 เกิดขึ้นจริง ประสบความสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากผู้บริหาร ผู้สอนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบเอาคะแนนสูง ทำให้นักเรียนถูกจำกัดอยู่ในกรอบ ไม่สามารถคิดนอกกรอบได้ ครูต้องให้เสรีภาพเด็กเลือกเรียนตามความถนัด โดยส่งเสริม เติมเต็มตามศักยภาพของเด็ก ซึ่งเป็นการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคมาก รวมถึงต้องเป็นเป้าหมายการศึกษาของชาติ สร้างเด็กสร้างนวัตกรรม เลิกการบรรยาย แต่ให้เด็กได้ลงมือทำ เด็กทุกคนต้องมีผลงานและเห็นความสำเร็จอยู่ที่ผลงาน การเรียนการสอนทุกวิชาต้องเป็นแบบเดียวกัน มีการดำเนินการต่อเนื่อง และทุกคนต้องร่วมมือกันทำ” ศ.กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์กล่าวทิ้งทาย
- การศึกษา4.0จะเกิดขึ้นจริงต้องเริ่มจากทุกภาคส่วนในระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียน สถาบันอุดมศึกษา ครู ต้องปรับเปลี่ยน กระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะสอดคล้องกับการก้าวสู่ยุค4.0สร้างผลผลิต นวัตกรรม สามารถติดตามการศึกษา4.0เป็นยิ่งกว่าการศึกษาได้
โดย ชุลีพร อร่ามเนตร
การเรียน-สอน ศตวรรษที่ 21
- โลกเปลี่ยนไปมาก ทั้งความรู้และเทคโนโลยีที่หาง่าย ราคาถูก ผมนึกถึงวันที่ลงทุนซื้อโทรศัพท์มือถือ ใช้ครั้งแรก ผมใช้คำว่าลงทุน เพราะการจะมีโทรศัพท์มือถือใช้เมื่อ 20ปีก่อนเป็นเรื่องไม่ง่าย ราคาของโทรศัพท์มือถือตอนนั้น เครื่องละ 60,000บาทถึง 90,000บาทนั่นคือเงินที่ซื้อโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่อง สามารถนำไปซื้อมอเตอร์ไซค์ได้ 3 คัน
- นอกจากลงทุนซื้อในราคาสูงก็ยังต้องจ่ายค่าใช้โทรศัพท์ในราคานาทีละ 12บาท และที่แปลกคือถ้ามีใครโทรหาเรา เรายังต้องเสียค่ารับโทรศัพท์อีกนาทีล่ะ 12บาท ทั้งยังมีค่าบำรุงรักษาเดือนละ 500 บาท
- ทำให้การมีโทรศัพท์ในตอนนั้น เป็นการ ลงทุน จริง ๆ ทำให้ใครก็ไม่อยากมีโทรศัพท์มือถือไว้ใช้ แต่วันนี้ใครจะเชื่อว่าใครๆ ก็ใช้โทรศัพท์มือถือ และเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถมากเกินกว่าที่ใครจะคาดถึง เป็นโทรศัพท์ไร้สาย ซึ่งเป็นอะไรมากกว่าเครื่องมือสื่อสาร
- โทรศัพท์กลายเป็นแหล่งความบันเทิง ทั้ง ดูหนัง ฟังเพลง ดูทีวี และเล่นเกม ด้วยอุปกรณ์เล็กๆ เราสามารถจะจองตั๋วภาพยนตร์ ตั๋วเครื่องบิน เป็นบริการสารพัดอย่าง
- ต่อมาโทรศัพท์ก็เริ่มกลายเป็นแท็บเลต เป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ กลายเป็นห้องประชุมที่สามารถได้ยินเสียง และเห็นหน้ากันได้แม้อยู่ต่างที่กันก็ตาม จำนวนผู้คนที่จดทะเบียนโทรศัพท์มือถือทั่วโลกในตอนนี้มีมากกว่า 4000ล้านเครื่อง ซึ่งเรียกได้ว่าโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนยุคนี้ไปแล้ว
- ประมาณสิบปีที่ผ่านมา ตามศูนย์การค้าแกล่งชุมชนโดยเฉพาะหน้ามหาวิทยาลัย เรามักจะเจอโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ ซึ่งการใช้คอมพิวเตอร์สมัยนั้นเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการทำเว็บ เราถึงต้องกลับลงทุนไปนั่งเรียน เพื่อให้คุณครูมาสอน
- กระทรวงศึกษามีนบายให้โรงเรียนต้องมีคุณครูที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็น ผมได้รับเชิญจากกระทรวงศึกษาให้ไปบรรยายเรื่องการทำเว็บ และการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา คุณครูบ่นให้ฟังถึงความยุ่งยากของคอมพิวเตอร์ หรือเรื่องของอีเมล์
- แต่ทุกวันนี้เราเห็นเด็กรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี เราไม่ต้องส่งลูกไปเรียนคอมพิวเตอร์ คุณครูที่ปฏิเสธ อีเมล์วันนี้หลายท่านกลับมาใช้มันแล้ว ไหนยังจะมี Facebook หรือ Line
- เพราะความรู้สมัยนี้หาง่าย เด็กทั่วโลกที่สนใจเรื่องฟิสิกส์ เคมีก็เข้าไปเรียนฟรีๆ กันได้ เช่น www.khan-academy.org Harvard ที่ทำให้ไว้ให้สำหรับเด็กที่ไม่มีเงินไปกวดวิชา
- คุณบิล เกตส์ เจ้าของไมโครซอฟท์ มองเห็นว่าสิ่งที่คุณคานทำนั้นดี มีประโยชน์ ต่อคนทั้งโลก ก็เลยสมทบทุนให้ เพื่อที่จะได้มีเนื้อหาให้ครบทุกวิชา
- ตอนนี้ได้มีการแปลภาษาให้คนชาติต่างๆ ทั่วโลกได้ใช้แล้ว ใน podcost เองก็มีการรวบรวมเรื่องการฝึก ฟัง ฝึกพูดภาต่างๆ ไว้มากมาย
- ทำให้คนที่อยากฝึกภาษาได้ฝึกผ่านทางโทรศัพท์มือถือ กลายเป็นการเรียนรู้ที่สามารถฝึกกันได้ 24 ชั่วโมง ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เด็กสามารถหาเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะจาก Youtube Google หรือคุยกับคนที่สนใจเรื่องเดียวกันใน Facebook ซึ่งเป็นการสร้างความรู้ได้มากเกินกว่าที่โรงเรียนได้สอน
- คริสโตเฟอร์ ครู อิงเกิล นักร้อง นักแต่งเพลงขวัญใจวัยรุ่น เรียนรู้การแต่งเพลงจากอินเตอร์เน็ต ทำดนตรีและเผยแพร่ทางสังคมออนไลน์จนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งๆที่ ไม่มีค่ายเพลง ไม่ได้ผ่านการฝึกจากสถาบันร้องเพลงใดๆ
- เทเลอ วิลสัน เด็กอเมริกันอายุ 17 ปี สามารถผลิตเครื่องตรวจจับปฏิกรณ์ปรมาณูได้ในโรงรถของตนเอง จากการที่สนใจใฝ่รู้ด้วยตนเอง ผลงานของเขาทำให้ บารัค โอบามา เชิญเขาไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ของชาติ เรื่องราวคลายๆ กันนี้ยังมีอีกมากมายทั่วโลก
- หันมาดูการศึกษาในบ้านเรา เด็กยังคงท่องจำเรื่องเก่าๆ ไปสอบ ทั้งที่แค่แท็บเลตเด็ก ป1 ก็ยังหาคำตอบได้ คุณครูยังคงสอนเรื่องต่างๆ ที่ไม่รู้ว่าเด็กจะได้ใช้ในชีวิตเมื่อไร เด็กยังคงแข่งกันเรียน ผู้ปกครองบ่นว่าเสียเงินให้ลูกไปกวดวิชา ทั้งที่สามารถหาเรียนฟรีได้เอง ไม่เรื่องทางภาษาและเทคนิคการสอนแบบใหม่ เช่นใน MIT Open Course ware หรือที่ Khan Academy
- เรื่องราวที่เป็นปัญหาเหล่านี้ เพราะเราชินต่อการเรียนรู้แบบเดิม ฝึกทักษะแบบเดิม คือ รอคุณครูมาสอนมาบรรยายให้ฟัง เราขาดทักษะของการเรียนรู้ Learning Skill
- ความอยากเรียนรู้จึงหายไป เราแค่เรียนเพื่อสอบและเพื่อใบปริญญาเท่านั้น ซึ่งมันเป็นปัญหาของคนทั่วโลก แต่ตอนนี้นักการศึกษาทั่วโลกได้ตื่นตัวและพัฒนาสร้างรูปแบบการสอนใหม่ๆ ออกมา เช่น
- PBL (Problem-based Learning)
- Outcome-based Learning
- Game-based Learning
- Flipped Classroom
- CBL Creativity-based Learning ฯลฯ
- ทั้งนั้นเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีคุณสมบัติสอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งนักการศึกษาเห็นตรงกันว่า คือทักษะในการเรียนรู้
- มีการเร่งให้ครู อาจารย์ เปลี่ยนแปลงการสอน จากวิธีเลกเชอร์แบบเดิมๆ ไปสู่รูปแบบการเรียนรู้ๆ Learning Approach Model ที่สร้างขั้นเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้
- Learning Skill คือ ทักษะในการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่นั่งฟังอย่างตั้งใจ จดจำ แล้วนำไปใช้ อย่างเช่นที่เราใช้ในการเรียนการสอนที่ผ่านมา
- แต่ทักษะในการเรียนรู้ เป็นความสามารถในการหาความรู้ด้วยตนเอง รู้จักแยกแยะข้อมูลว่าอะไรคือความคิดเห็น อะไรคือข้อเท็จจริง ระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นมีมากน้อยเพียงใด และการนำข้อมูลมาใช้ในสภาพจริงนั้นจะทำได้อย่างไร
- การจะทำให้เด็กมีทักษะนี้ได้จริงๆ ต้องเปลี่ยนรูปแบบการสอนมากๆ มาเป็นการสอนน้อยๆ ให้เด็กคิดหาคำตอบ ค้นคว้ามากขึ้น และให้มีโอกาสในการนำเสนอมากๆ
- ซึ่งเป็นที่น่าห่วงเมื่อหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วหรือหลายประเทศที่กำลังจะเปลี่ยน แต่สำหรับประเทศเรา เราตั้งใจเปลี่ยนมากกว่า 10 ปี แต่ผลรับยังเหมือนเดิม คือการสอนยังคงเหมือนเดิมครับ
บทความโดย อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์
ผู้ก่อตั้ง www.eduzones.com
https://www.facebook.com/ajWiriya
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น